อรรถรสอย่างหนึ่งในการเชียร์และรับชมฟุตบอลในโลกตะวันตกที่เห็นกันจนชินตา นั่นคือ “การพนันฟุตบอล” โดยเฉพาะประเทศอังกฤษที่มีบริษัทรับพนันถูกกฎหมายกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยรับพนันตั้งแต่ตำแหน่งแชมป์, ทีมตกชั้น, ดาวซัลโว ไปจนถึงรับพนันว่าใครจะยิงประตูคนแรก, ใครจะทุ่มบอลก่อน, ใครได้ใบเหลือง-แดงมากที่สุด หรือใครจะเป็นคนเขี่ยลูกเริ่มเล่นในแต่ละเกม
ในโลกปัจจุบันที่มีช่องทางให้พนันมากขึ้น อาทิ แบบออนไลน์ แบบใช้ VPN เพื่อหนีไปพนันที่เซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ แม้กระทั่งแบบพนันด้วยคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือเอ็นเอฟที (NFTs) ทำให้ผู้คนเข้าถึงการพนันได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การพนันฟุตบอลจึงมีเม็ดเงินที่ไหลสะพัด และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ที่การพนันฟุตบอลนั้นเป็นเรื่อง “ผิดกฎหมาย” แต่ก็รู้ทั้งรู้ว่ามีการแอบพนันกันใต้ดินอย่างดาษดื่น และการที่เม็ดเงินไปหมุนอยู่นอกระบบ ได้ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล
แทนที่เม็ดเงินตรงนี้จะนำมาใช้ในระบบให้เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะ การพัฒนาฟุตบอลไทย ที่กำลังเติบโต
Main Stand จึงชวนประเมินว่า การพนันฟุตบอลแบบถูกกฎหมาย ควรส่งเสริมให้ถูกทางสำหรับฟุตบอลไทยหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนประวัติศาสตร์ประเทศไทย มีหลายครั้งที่เกิดความพยายามในการทำให้การพนันเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย เริ่มตั้งแต่การเสนอการเก็บภาษี “พะนันและกาสิโน” โดย ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลพระยาพหลฯ ปี 2482
ไปจนถึงการที่รัฐบาลพยายามจัดตั้งคาสิโนและเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สมัยทักษิณ ชินวัตร ปี 2548 เพื่อดึงเม็ดเงินอันมหาศาลกลับเข้าสู่ระบบ ถึงอย่างนั้น ประเด็นดังกล่าวมักลงเอยด้วยการถูกพับเก็บเข้ากรุไป ไม่มีการอภิปรายเพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งเป็นชนวนให้เกิดการประท้วงขึ้น เพื่อถกเถียงผลได้ผลเสียของธุรกิจการพนันอย่างถูกต้อง
ถึงการพนันจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในไทย แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ การพนันฟุตบอลในประเทศไทยได้รับความนิยมสูงลิ่ว จากเดิมที่นักพนันมักเล่นพนันแต่ฟุตบอลต่างประเทศ แต่พอกระแสไทยลีกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้บรรดานักพนันหันมาสนใจเล่นพนันฟุตบอลในประเทศมากขึ้น
เห็นได้จากงานศึกษา พนันบอลกับไทยลีก ของ ดร.วสันต์ ปัญญาแก้ว อาจารย์จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าในไทยมีอัตราการเล่นกว่าร้อยละ 60 ซึ่งเป็นจำนวนเกินกว่าครึ่งของแฟนบอลไทย และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเงินเดือนต่ำกว่า 10,000 – 20,000 บาท แม้จะเป็นกลุ่มรายได้น้อย แต่ก็เป็นกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ นั่นหมายความว่าการพนันเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฟุตบอลในประเทศไทยอยู่อย่างลับ ๆ และมีเงินจำนวนมหาศาลไหลสะพัดอยู่ในธุรกิจนี้
หากเราใช้แว่นตาของศีลธรรมแบ่งขาวแบ่งดำมาตัดสินการพนัน ก็ย่อมต้องมองเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่ถ้ามองถึงความเป็นจริงทั้งความนิยมของคนไทยที่มีต่อการพนัน ผนวกกับเม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ภายในธุรกิจรูปแบบนี้ การพิจารณาให้การพนันฟุตบอลเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะหากทำให้การพนันกีฬาเป็นสิ่งผิดกฎหมายต่อไป รัฐและประชาชนชาวไทยไปจนถึงวงการกีฬาจะไม่ได้ผลประโยชน์ที่ชัดเจนจากธุรกิจสีเทาเหล่านี้